นาย กิตติพงศ์ โตรอด เลขที่ 3
นาย นภพล เลาวัฒนกุล เลขที่ 13
นาย ณัฐชนน ตุลยวิศาล เลขที่ 23
นางสาว กัลยารัตน์ แปงเสน เลขที่ 33
นางสาว พนิตนันท์ เตชะนันท์ เลขที่ 43
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554
การจัดการฐานข้อมูล
การจัดการฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) คือ การบริหารแหล่งข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อตอบสนองต่อการใช้ของโปรแกรมประยุกต์อย่างมีประสิทธิภาพและลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล รวมทั้งความขัดแย้งของข้อมูลที่เกิดขึ้นภายในองค์การ
ข้อดีของการจัดการฐานข้อมูล
1 ลดความยุ่งยากของข้อมูลภายในองค์การโดยรวมข้อมูลไว้ที่จุดหนึ่งและผู้ควบคุมดูแลการใช้ข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล การนำ ข้อมูลไปใช้ประโยชน์และดูแลความปลอดภัย
2. ลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy) ในกรณีที่ข้อมูลอยู่เป็นเอกเทศ
3. ลดความสับสน (Confusion) ของข้อมูลภายในองค์การ
4. มีความยืดหยุ่นในการขยายฐานข้อมูล การปรับปรุงแก้ไขทำได้ง่ายกว่า
5. การเข้าถึงข้อมูลและความสะดวกในการใช้สารสนเทศมีเพิ่มขึ้น
ข้อดีของการจัดการฐานข้อมูล
1 ลดความยุ่งยากของข้อมูลภายในองค์การโดยรวมข้อมูลไว้ที่จุดหนึ่งและผู้ควบคุมดูแลการใช้ข้อมูล การเข้าถึงข้อมูล การนำ ข้อมูลไปใช้ประโยชน์และดูแลความปลอดภัย
2. ลดการซ้ำซ้อนของข้อมูล (Redundancy) ในกรณีที่ข้อมูลอยู่เป็นเอกเทศ
3. ลดความสับสน (Confusion) ของข้อมูลภายในองค์การ
4. มีความยืดหยุ่นในการขยายฐานข้อมูล การปรับปรุงแก้ไขทำได้ง่ายกว่า
5. การเข้าถึงข้อมูลและความสะดวกในการใช้สารสนเทศมีเพิ่มขึ้น
ความต้องการใช้ข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลเป็นสิ่งที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับการใช้งานประจำวัน การตัดสินใจของผู้บริหารจะกระทำได้รวดเร็ว ถ้ามีข้อมูลที่ถูกต้องและเพียงพอ จึงมีการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศดังกล่าว แต่การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีหลักการและวิธีการที่ทำให้ระบบมีระเบียบแบบแผนที่ดี
การเก็บข้อมูลนั้นผู้จัดเก็บจำเป็นต้องทำการแยกแยะ และพยายามหาทางลดขนาดของข้อมูลให้สั้นที่สุด แต่ให้ได้ความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยปกติข้อมูลที่ต้องการเก็บมีเป็นจำนวนมาก การเก็บข้อมูลจึงจำเป็นต้องแยกกลุ่มออกจากกัน แต่ข้อมูลระหว่างกลุ่มก็อาจจะมีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มนี้เองเป็นส่วนที่ทำให้เกิดระบบฐานข้อมูล ซึ่งเป็นศาสตร์ที่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการและวิธีการเพื่อให้เกิดการเก็บ เรียกหา ค้นหา หรือใช้งานข้อมูลได้ประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีการแยกกลุ่มข้อมูล โดยยึดหลักการพื้นฐานว่าข้อมูลแต่ละกลุ่มจะเป็นสิ่งที่มองเห็นหรือจับต้องได้ ข้อมูลแต่ละกลุ่มที่แยกนี้เรียกว่า เอนทิตี (entity) โดยข้อสนเทศของเอนทิตีจะสามารถแยกออกได้เป็นสองส่วน คือ เนื้อหาและข้อมูล
การเก็บข้อมูลนั้นผู้จัดเก็บจำเป็นต้องทำการแยกแยะ และพยายามหาทางลดขนาดของข้อมูลให้สั้นที่สุด แต่ให้ได้ความหมายในตัวเองมากที่สุด โดยปกติข้อมูลที่ต้องการเก็บมีเป็นจำนวนมาก การเก็บข้อมูลจึงจำเป็นต้องแยกกลุ่มออกจากกัน แต่ข้อมูลระหว่างกลุ่มก็อาจจะมีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มนี้เองเป็นส่วนที่ทำให้เกิดระบบฐานข้อมูล ซึ่งเป็นศาสตร์ที่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการและวิธีการเพื่อให้เกิดการเก็บ เรียกหา ค้นหา หรือใช้งานข้อมูลได้ประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีการแยกกลุ่มข้อมูล โดยยึดหลักการพื้นฐานว่าข้อมูลแต่ละกลุ่มจะเป็นสิ่งที่มองเห็นหรือจับต้องได้ ข้อมูลแต่ละกลุ่มที่แยกนี้เรียกว่า เอนทิตี (entity) โดยข้อสนเทศของเอนทิตีจะสามารถแยกออกได้เป็นสองส่วน คือ เนื้อหาและข้อมูล
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554
ลักษณะการจัดการสารสนเทศที่ดี
ลักษณะการจัดการสารสนเทศที่ดี คือ สารสนเทศต้องถูกต้องเม่นยำ เมื่อพิจารณาสารสนเทศแล้วต้องเข้าใจง่ายมีวิธีการรวบรวมข้อมูลที่น่าเชื่อถือ จะต้องมีการจัดการเตรียมฐานข้อมูลและบริหารข้อมูล โดยจัดแบ่งแยก ปรับปรุงข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้องหน้าที่หลักของผู้บริหารฐานข้อมูล จึงประกอบด้วยการจัดเก็บข้อมูล การติดต่อประสานงานกับแหล่งข้อมูลและที่มาของข้อมูล
- ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลเป็นแฟ้ม โดยกระจายอยู่ในหลาย ๆ แฟ้ม มักจะพบปัญหาของการปรับแก้ไขข้อมูล มิฉะนั้นจะพบกับปัญหาความซ้ำซ้อนของข้อมูล ซึ่งทำให้การบริหารข้อมูลทำได้ยากข้อมูลจึงควรได้รับการออกแบบและเก็บอยู่ในฐานข้อมูลที่ใดที่เดียว
- กำหนดมาตรฐานของข้อมูล การสร้างฐานข้อมูลจะต้องให้ข้อมูลที่จัดเก็บเป็นมาตราฐาน กำหนดรหัสที่เป็นมาตราฐาน กำหนด keyword หรือค่าที่ใช้แทนข้อมูลอย่างเดียวกันเพื่อให้ได้ความหมายต่อการใช้งานที่ดี
- มีระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลจำเป็นต้องจัดแบ่งระดับความสำคัญของข้อมูลเพื่อกำหนดผู้ใช้ มีการควบคุมข้อมูล ข้อมูลที่จัดเก็บนั้นอาจมีความสำคัญ ดังนั้นการแก้ไขหรือปรับปรุงข้อมูลโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นอาจทำให้ข้อมูลเสียหายได้
- มีความเป็นอิสระจากโปรแกรม จะต้องเป็นระบบที่ข้อมูล และฐานข้อมูลมีความเป็นอิสระจากโปรแกรม ทำให้สามารถใช้โปรแกรมจัดการฐานข้อมูลใด ๆ จัดการฐานข้อมูลได้ ทำให้ข้อมูลใช้ได้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกรูปแบบ
- รวมข้อมูลเป็นฐานข้อมูลกลาง เมื่อก่อนมีการเก็บข้อมูลแยกเป็นแฟ้มกระจัดกระจาย แต่ในปัจจุบันสามารถรวบรวมข้อมูลเข้าด้วยกันเป็นฐานข้อมูลกลางด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้ระบบการทำงานใช้ข้อมูลร่วมกันได้
การแบ่งแฟ้มข้อมูล
การแบ่งประเภทแฟ้มข้อมูล สามารถแบ่งแยกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ แต่สามารถจำแนกได้ 8 ประเภท คือ
- แฟ้มข้อมูลหลัก (Master File) - เก็บข้อมูลที่สำคัญไว้อย่างถาวร และมักจะเรียงตามลำดับของ Primary Key
- แฟ้มรายการปรับปรุง (Transaction file) - บันทึกเหตุการณ์หรือความเปลี่ยนแปลงของแฟ้มข้อมูลหลัก เป็นรายการย่อยที่เกิดในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่เกิดจากการเพิ่มข้อมูล
- แฟ้มดัชนี (Index File) – ใช้ชี้บอกตำแหน่งของข้อมูลในแฟ้มข้อมูล เพื่อช่วยค้นหาได้รวดเร็ว
- แฟ้มข้อมูลเก่า (Historical File) - ใช้อ้างอิงข้อมูลต่างๆ
- แฟ้มสรุปผล (Summary File) - สร้างมาจากแฟ้มข้อมูลอื่น โดยการรวบรวมหรือคำนวณข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะได้ไม่เสียเวลาทุกครั้งที่เรียกใช้งาน
- แฟ้มงาน (Work File)
- แฟ้มรายงาน (Report File) – ใช้นำเสนอข้อมูลในรูปแบบของรายงาน
- แฟ้มสำรอง (Backup File) - ป้องกันความเสียหายหรือข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นกับแฟ้มข้อมูลสำคัญ ๆ
โครงสร้างข้อมูลในระบบฐานข้อมูล
โครงสร้างของฐานข้อมูล มีไว้เพื่อค้นหาข้อมูล ประมวลผลข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อง่ายต่อการนำเสนอและการจัดเก็บข้อมูล โครงสร้างของฐานข้อมูลนั้นมีองค์ประกอบหลัก 5 อย่าง คือ
1) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลและประมวลผลข้อมูล ซึ่งอาจประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่หนึ่งเครื่องขึ้นไป
2) ซอฟต์แวร์ (Program/Software) หมายถึง โปรแกรมที่ใช้ในระบบการจัดการฐานข้อมูล ซึ่งมีการพัฒนาเพื่อใช้งานได้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์จนถึงเครื่องเมนเฟรม
3) ระบบ (Data) ต้องมีองค์ประกอบข้อมูลที่มีคุณสมบัติขึ้นพื้นฐาน 5 อย่าง คือ
3.1) มีความถูกต้อง
3.2) มีความรวดเร็วและเป็นปัจจุบัน
3.3) มีความสมบูรณ์ของข้อมูล
3.4) มีความชัดเจนและกะทัดรัด
3.5 ) สอดคล้องกับความต้องการ
4) บุคลากร (People) มีความเกี่ยวข้องกับระบบอยู่ตลอดเวลา เป็นบุคลากรที่ทำหน้าที่ในการจัดการฐานข้อมูล
5) กระบวนการทำงาน (Procedures) เป็นขั้นตอนการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ตั้งแต่การเปิดโปรแกรมขึ้นมาใช้งาน การนำเข้าข้อมูล การแก้ไขปรับปรุงข้อมูล การค้นหาข้อมูล และการแสดงผลการค้นหา
ลักษณะของข้อมูลในฐานข้อมูล
ลักษณะข้อมูลในฐานข้อมูล สามารถจำแนกได้ 9 รูปแบบ คือ
1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (The Hierarchical Database Model) มีลักษณะเป็นแผนภูมิต้นไม้ (Tree) ความสัมพันธ์เป็นแบบพ่อกับลูก (Parent/Child Relation) มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง และ หนึ่งต่อกลุ่ม
2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (The Network Database Model) มีลักษณะเป็นแผนภูมิต้นไม้เหมือนกัน แต่เป็นแบบซับซ้อน เพื่อรองรับความสัมพันธ์แบบ กลุ่มต่อกลุ่ม
1. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น (The Hierarchical Database Model) มีลักษณะเป็นแผนภูมิต้นไม้ (Tree) ความสัมพันธ์เป็นแบบพ่อกับลูก (Parent/Child Relation) มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง และ หนึ่งต่อกลุ่ม
2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย (The Network Database Model) มีลักษณะเป็นแผนภูมิต้นไม้เหมือนกัน แต่เป็นแบบซับซ้อน เพื่อรองรับความสัมพันธ์แบบ กลุ่มต่อกลุ่ม
3. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (The Relational Database Model) ใช้แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลนั้นเป็นตารางซึ่งเก็บข้อมูลที่มีลักษณะเหมือนกันไว้
4. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ (The Object-Oriented Database Model) ใช้จัดเก็บทั้งข้อมูลและชุดคำสั่งไว้ด้วยกัน จึงสามารถใช้งานร่วมกันได้โดยอัตโนมัติ ทำให้ฐานข้อมูลชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการจัดเก็บและจัดการ แต่มีความยุ่งยากและซับซ้อนกว่า
5. ฐานข้อมูลเชิงวัตถุ-สัมพันธ์(The Object-Relational Database Model) ให้ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์สามารถเพิ่มคุณสมบัติของแบบจำลองเชิงวัตถุเข้าไปได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ในการออกแบบข้อมูลใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงระบบฐานข้อมูลเดิม สามารถสร้างชนิดข้อมูลที่กำหนดเองได้
6. คลังข้อมูล (Data Warehouse) แหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ของทั้งองค์กร จะต้องมีการแบ่งส่วนการทำงานออกเป็นส่วนย่อยๆ ขึ้นอยู่กับหน้าที่การทำงาน ในบางกรณีต้องทำสำเนาข้อมูลที่มีความจำเป็นต้องใช้งานของแต่ละส่วนมาจัดเก็บไว้ภายในส่วนการทำงานย่อยๆ เหล่านั้น
7. ฐานข้อมูลแบบหลายมิติ (Multidimensional Database) การทำตารางให้เป็นแบบ หลายมิติ จะทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลทำได้ง่ายขึ้น ด้วยวิธีการ “เฉือน (Slicing)” ลูกบาศก์ออกเป็นส่วน ๆ ตามที่ต้องการคำนวณเท่านั้น
8. ฐานข้อมูลบนเว็บ (Web Database) การสร้าง Web Page ที่ผู้ใช้สามารถเลือกดูในสิ่งที่ต้องการได้ โดยการสร้างฐานข้อมูลไว้ที่เครื่องเซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการเว็บไซต์ที่ต้องการสร้างเป็นเว็บฐานข้อมูล เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นโดยใช้เว็บฐานข้อมูล สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
9. ฐานข้อมูลแบบกระจาย (Distributed Database) เป็นการกระจายการจัดเก็บข้อมูลไว้ในหลาย ๆ สถานที่ ฐานข้อมูลชนิดนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่
โครงสร้างแฟ้มข้อมูล
การจัดโครงสร้างแฟ้มข้อมูลมีไว้เพื่อจัดเก็บข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูลมีความสะดวกรวดเร็ว เหมาะสมกับความต้องการ แบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ
1) โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับ(Sequential File) ใช้งานได้ง่ายสุดเหมาะกับงานประมวลผลที่มีการอ่านข้อมูลต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆตามลำดับและปริมาณครั้งละมากๆ โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบลำดับประกอบด้วยระเบียนที่จัดเรียงไปตามลำดับอย่างต่อเนื่องเมื่อจัดสร้างแฟ้มข้อมูลโดยจะบันทึกระเบียนเรียงตามลำดับการบันทึกระเบียนจะถูกเขียนต่อเนื่องไปตามลำดับ
2) โครงสร้างแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม(Direct/Random File) สามารถทำงานได้เร็ว เพราะมีการเข้าถึงข้อมูลเรคคอร์ดแบบเร็วมาก เพราะไม่ต้องเรียงลำดับข้อมูลก่อนเก็บลงไฟล์
3) โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบลำดับตามดัชนี (Index Sequential File) ช่วยชี้และค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ สามารถทำงานได้ยืดหยุ่นกว่าวิธีอื่นๆโดยเฉพาะกับกรณีที่ข้อมูลในการประมวลผลมีจำนวนมากๆ
4) โครงสร้างของแฟ้มข้อมูลแบบสัมพัทธ์ (relative file) สามารถเข้าถึงข้อมูลหรืออ่านระเบียนใด ๆ ได้โดยตรง ถูกจัดเก็บอยู่บนสื่อที่สามารถเข้าถึงได้โดยตรง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)